Search

คอลัมน์การเมือง - เมื่อตั้งโจทย์ผิด ความวิกฤติก็คืนกลับ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

doublessentertainment.blogspot.com

ไปไหนมาไหนเวลานี้จะได้ยินเสียงบ่นด่ากันทั้งบ้านเมืองว่า ไม่เห็นมีอะไรที่จะดีไปกว่าเก่า ทั้งๆ ที่ฝากความหวังไว้อย่างสูงว่าบ้านเมืองคงจะดีขึ้นหลังการรัฐประหารครั้งนี้ แต่สี่ปีที่ผ่านภายใต้อำนาจปืนทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม มิหนำซ้ำบางอย่างดูจะหนักยิ่งกว่าเก่าด้วย โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจในเรื่องปากท้องของชาวบ้าน และปัญหาความแตกแยกของผู้คนในบ้านเมืองที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้บริหารปกครองในขณะนี้

สีเหลือง สีแดงต่อต้านสีเขียวที่มีปืนอยู่ในมือ

ทั้งๆ ที่สมัยก่อนมีแต่สีแดงเท่านั้นที่ต่อต้านสีเขียวและสีเหลืองสมัยก่อนสนับสนุนสีเขียว และสีเหลืองสมัยก่อนยืนคนละฝั่งกับสีแดง

แต่สมัยนี้สีเหลืองกับสีแดงยืนฝั่งเดียวกันในการถล่มสีเขียวในลักษณะแยกกันเดินรวมกันตี

มีคำถามว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้

คำตอบก็คือ เพราะตั้งโจทย์ผิด

สีเขียวถือปืนเข้ามายึดอำนาจครั้งนี้เพราะตั้งโจทย์ว่า บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ประชาชนสองฝ่ายคือเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงวิวาทกัน ปล่อยทิ้งไว้จะเกิดความเสียหายอย่างหนักกับส่วนรวม จำเป็นต้องเข้ามาแก้ไขเพื่อให้มีความสามัคคีปรองดองเกิดขึ้น

ความสามัคคีปรองดองนั้นเป็นเรื่องที่ดี และควรส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดขึ้น ไม่ต้องขัดแย้งหรือทะเลาะวิวาทกันต่อไปอีก แต่ก็ต้องรู้จักแยกแยะให้ถูกต้องด้วยว่า ความขัดแย้งวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้น ฝ่ายใดถูก ฝ่ายใดผิด
จนเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองขณะนั้น

สีเหลืองออกมาต่อต้าน ขับไล่ผู้มีอำนาจหน้าที่ใช้อำนาจในการบริหารปกครองบ้านเมืองในขณะนั้นไปในทิศทางของความไม่ถูกต้องต่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ แต่เป็นประโยชน์กับตนและพวกพ้อง จนร่ำรวยกันมากมายจากการทุจริตคดโกง และประพฤติมิชอบในรูปแบบต่างๆ ใช่หรือไม่ หรือความวุ่นวายที่เกิดจากการเผาบ้านเผาเมืองนั้น เสื้อสีไหนเป็นคนทำ

ไม่ใช่เหมารวมกันไปหมดโดยไม่แยกแยะแต่ต้น

ใครผิดใครถูกในการกระทำต้องแยกแยะให้ออก

ไม่ใช่ถือปืนเข้ามาแล้วบอกว่าคนสองฝ่ายทะเลาะกัน

เมื่อตั้งโจทย์ผิดมาแต่ต้นอย่างนี้โดยไม่แยกแยะ คนดีๆที่ออกมาต่อสู้ขับไล่คนไม่ดีที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกดังกล่าว ก็ยากที่จะเกิดความสามัคคีปรองดองขึ้นในบ้านเมือง เพราะคนดีๆเหล่านี้จะหันกลับมายืนตรงข้ามกับสีเขียวที่ถือปืนเข้ามามีอำนาจอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ อย่างที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้นั่นเอง

สีเหลืองกับสีแดงกำลังเป็นแนวร่วมมุมกลับต่อสีเขียว

นั่นก็หมายความว่า สีเหลืองกับสีแดงกำลังอยู่ในลักษณะของการแยกกันเดินและรวมกันตีสีเขียว โดยไม่ต้องมีการจัดตั้ง

วงรอบแห่งการต่อสู้กำลังกลับคืนมาให้เห็นอีกขณะนี้ แต่เป็นการต่อสู้ของผู้คนในบ้านเมือง ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร กับคนใส่เสื้อสีเขียวที่มีปืนอยู่ในมือ ซึ่งกำลังใช้อำนาจในการบริหารปกครองประเทศอยู่ในขณะนี้

แต่ก็ต้องบอกไว้ด้วยว่า สีเขียวถือปืนที่ว่านี้ ไม่ใช่สีเขียวที่ถือปืนทุกคนไป แต่เป็นสีเขียวถือปืนไม่กี่คนที่อยู่ในระดับบน และเป็นผู้ใช้อำนาจในขณะนี้

การใช้อำนาจที่มีอยู่ ถ้าผู้ใช้รู้จักใช้ในทิศทางที่ถูกต้อง วางคนให้เป็นมิตรกับคนทั้งหลาย ทำแต่สิ่งที่คนดีทั้งหลายชอบ บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่คนในชาติไม่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น ไม่หูเบาใจเบาสมองทึบ ไม่ใช้อำนาจอย่างคนหลงอำนาจ เมาอำนาจจนลืมตัว หรือเป็นคนที่มีกิริยาแทงตา มีวาจาแยงหู มีนิสัยแสลงใจ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็ยากที่จะให้ผู้คนทั้งหลายยอมรับ

และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความฉุนเฉียว เอะอะโกรธง่าย โอ้อวด พูดจาใหญ่โต ดุดัน ดื้อรั้นดันทุรัง ไม่รับฟังเสียงผู้อื่นในทางที่ถูกที่ควร ผู้มีอำนาจที่เป็นคนอย่างนี้ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งในประเทศเราและประเทศอื่นๆนั้น ชีวิตบั้นปลายล้วนจบไม่สวยทั้งสิ้น

สี่ปีที่ผ่านมาจึงเป็นสี่ปีที่มีแต่ปัญหาสะสมมากขึ้นจากการตั้งโจทย์ผิดในการแก้ปัญหา มิหนำซ้ำยังดูจะวนเวียนกลับมาที่เดิมของสถานการณ์ก่อนรัฐประหารครั้งนี้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำจัดกวาดล้างความสกปรกโสโครกที่เกิดจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง คือการทุจริตคดโกงในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในหมู่เหล่าของคนมีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ในบ้านเมืองที่ยังคงมีอยู่และดูจะหนักกว่าเก่าด้วยซ้ำไป

คนที่ทุจริตหรือคดโกงนั้นเป็นคนไม่ดีหรือคนชั่ว

คนชั่วสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เช่นผลประโยชน์ตนหรือพวกพ้อง บ้านเมืองของเราที่ผ่านมาแม้ในขณะนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้ ซึ่งมีทุกระดับของระบบราชการ และระบบการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคดโกง ไม่ตรงไปตรงมาในการจัดซื้อจัดจ้าง จัดหา หรือการสร้างโครงการใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก

การโกง คือการใช้อุบายหรือเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง

การทุจริต คือการประพฤติชั่ว ไม่ซื่อตรง

โรดแมปสี่ปีที่สร้างขึ้นใช้เป็นจุดหมายปลายทางของการใช้อำนาจรัฐประหารครั้งนี้ ได้มีการสะสางกวาดล้างความสกปรกจากเรื่องการทุจริตคดโกง โดยเฉพาะในหมู่พวกของตนให้เห็นจริงๆ จังๆ ในเรื่องใดบ้าง

อย่าตั้งโจทย์ผิดที่คนอื่นแต่อย่างเดียว แต่ถ้าเป็นพวกของตัวแล้วก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือไม่ใส่ใจที่จะจัดการให้โปร่งใส อย่างเรื่องใกล้ตัวที่สุดขณะนี้ที่กำลังอื้ออึงไปด้วยเรื่อง “นาฬิกายืมเพื่อน” เป็นต้น ถ้ายังปล่อยให้อยู่ในลักษณะนี้เรื่อยๆต่อไป ความวิกฤติจะนำไปสู่ความวิบัติแก่ตนโดยไม่รู้ตัว

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ




September 15, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/2FENrZG

คอลัมน์การเมือง - เมื่อตั้งโจทย์ผิด ความวิกฤติก็คืนกลับ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://ift.tt/30rXUjw


Bagikan Berita Ini

0 Response to "คอลัมน์การเมือง - เมื่อตั้งโจทย์ผิด ความวิกฤติก็คืนกลับ - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"

Post a Comment

Powered by Blogger.